ผมมาโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าตั้งแต่เมื่อวาน ด้วยคุณป้าต้องตรวจ MRI กระดูกขาที่เคยหักเมื่อยี่สิบปีที่แล้วและมีปัญหา การทำ MRI ครั้งก่อนหน้าไม่ได้ผลตามที่น่าพึงพอใจ ด้วยคุณป้าไม่สามารถควบคุมให้ขาวางนิ่งได้ หนนี้เลยต้องมีการวางยาสลบก่อนเข้าตรวจ เลยทำให้เราต้องมานอนที่โรงพยาบาลกันหนึ่งคืนก่อนหน้าเพื่อเตรียมความพร้อม ทุกสิ่งเป็นไปตามปกติ แม้ว่าเราได้นัด 09:00 มาก่อนเวลาตั้งแต่ 08:00 รอจนมือถือหมดแบตเตอรี่ไปแล้วก็ไม่ถึงเวลาเสียที กว่าจะได้นัดที่ต้องรอแพทย์ลงมาก่อน เราก็ได้เข้าห้องเอาราวประมาณ 13:00 แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก
เพราะวิวพหลโยธินยาวไปถึงจตุจักรจากชั้น 16 นั้นคุ้มค่า
และด้วยความไม่ไกลจากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ซึ่งมาดามวัลลี่ วอลเลซ พำนักปักหลักอยู่ ณ ละแวกนั้น มาดามให้เกียรติมาเยี่ยมเยือนผม และจะพาไปกินอะไรแพงแพง ผมซึ่งท้องเป่งราวจะคลอดในไม่ช้า ด้วยอาหารจากตลาดนัดโรงพยาบาล ก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ที่แสนเศร้า
มาดามวัลลี่ วอลเลซมาถึงราวหกโมงเย็นหลังเลิกงาน เราได้พบเจอ ทำเรื่องขำขัน ก่อนมองหาว่าจะไปกินอะไรแพง แพง หรูหรากันดีนะ แล้วก็จบลงที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดูไม่แพงมากละแวกนั้น แต่ด้วยหอผู้ป่วยจะปิดตอนสองทุ่ม เราเลยต้องทำเวลา แต่ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน พูดคุย หัวเราะ ขำขัน ในความเป็น มาดามวัลลี่ วอลเลซ ผู้กินอาหารญี่ปุ่นด้วยช้อนและส้อม และถ้าจำที่ผมเคยเล่าไปคนที่ทำให้ผมรู้สึกสดใส เป็นสุขได้ก่อนหน้านั้น คนที่พังกำแพงแห่งอคติในใจผมลงได้ ก็ไม่ใช่ใครไหนไกล มาดามวัลลี่ วอลเลซ นั่นแหละ
หลังจากออกจากร้านเราก็เดินกลับมาด้วยกัน และตรงทางแยกที่จะต้องจากกัน มาดามวัลลี่ วอลเลซ ก็หยุดลงและร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ผมฟังต่อหน้า ตรงนั้น ตรงริมถนน ที่คนเดินไปมา และแน่นอนว่า เป็นช่วงเวลาที่น่ารักจนลืมไม่ลง
เธอเป็นนางฟ้าตัวจ้อย
ผมและมาดามวัลลี่ วอลเลซ เราเรียนมัธยมต้น มัธยมปลาย และปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เราก็ไม่เคยได้อยูห้องเดียวกัน และผมก็ไม่ฉลาดพอที่จะไปเรียนคณะเดียวกับมาดามได้ ถ้าจะฟังไปแล้ว เราเองก็แทบไม่เคย ไม่มี เวลาที่จะนับได้ว่าสนิทอะไรกัน หรือว่าจะเป็นเพื่อนทีดีดีต่อกันอะไรเลย แต่ความโชคดีในโอกาสที่เกิดคือ ผมได้พบเจอมาดามวัลลี่ วอลเลซ ในวันที่ผมไปยื่นส่งเอกสารขอวีซ่าที่สำนักงานอยู่อาคารเดียวกันกับที่ทำงานของมาดามวัลลี่ วอลเลซ เธอได้ซื้อเครื่องดื่มให้ผม และด้วยพื้นที่ซึ่งไม่ได้ไกลกันเราก็ได้นัดเจอกัน กินข้าวกันนาน ๆ หน
แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรดูมากมายไปกว่า เจอกันบางหน บางเวลา บางโอกาส โดยบังเอิญแต่หลายหนก็เจอแล้วเป็นเรื่องที่สนุกสนาน ผมก็มักเล่นบทเจ้านายใจร้าย โดยเธอเองก็เป็นซินเดอเรลล่าที่น่าสงสาร
ความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลยในค่ำที่ผมต้องเดินทางกลับบ้านไปงานศพคุณพ่อ ด้วยยุคที่โรคระบาดหนัก การเดินทางทำได้โดยยากและดูไม่มีช่องทางอะไรมาก นอกจากรถไฟที่ยังพอจะมีช่องทางและพอจะหาได้ นอกจากคุงและชุน ที่ตั้งใจมาส่งผมแล้ว คนหนึ่งที่หอบข้าวของพะรุงพะรัง (จะว่าไป ไม่ว่าจะตอนไหน เธอก็พะรุงพะรังเสมอ) ไม่ว่าจะเป็นกล่องอาหาร ขนม ของหวาน รวมถึงไปวิ่งหาแก้วน้ำ น้ำแข็ง และหลอดน้ำให้ผมอีกต่างหาก
ชุนซึ่งยังพูดซ้ำ ย้ำเสมอกับผม ทำไมยูใจร้ายกับเพื่อนจัง
ที่น่าประทับใจจนน้ำตาไหลยิ่งกว่าคือหลังจากรถเคลื่อนขบวน ผมก็พบว่ามีบางคนวิ่งตามรถไฟ โบกมืออำลา ราวกับว่าเราจะไม่ได้พบเจอกันอีก ผมหัวเราะขำ และน้ำตาไหล เพราะคนที่ทำอะไรอย่างที่ใจอยากทำ ไม่ให้เวลาและโอกาสนั้นหลุดไป คือ มาดามวัลลี่ วอลเลซ
ด้วยเหตุนี้ หลายครั้ง หลายคราว หลายช่วงเวลาในชีวิต ที่ผมรู้สึกแย่ รู้สึกอ่อนล้า รู้สึกถึงความด้อยค่าในตัวเอง ผมก็ยังคงมีพลังใจ แสงสว่างคอยส่องให้ชุ่มชื่นใจ เพราะผมมีนางฟ้าตัวน้อยที่เปล่งประกาย มาดามวัลลี่ วอลเลซ นางฟ้าที่เบื้องบนได้ส่งมาให้เป็นกำลังใจให้ผมเสมอมา ตัวมาดามเองนั้นได้พักและพบกับชายในฝันของเธอ คุณวอลเลซ อีกทั้งยังทำการนั่งสมาธิสม่ำเสมอตลอดมา เป็นชีวิตที่น่าอภิรมย์ชวนอิจฉานัก
การเป็นมาดามวัลลี่ วอลเลซ นี่ช่างดีจริงนะ